17.12.54

รถโดนน้ำท่วม เคลมประกันภัยได้หรือไม่ มีคำตอบ

มัวชุลมุนกับปัญหาน้ำท่วมอยู่นาน ไมได้โพสบทความเลย หลายๆคนคงกลายเป็นผู้ประสบภัยไปแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ สู้สู้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
ปัญหาหนักอย่างหนึ่งที่ทำให้หลายคนทุกหนักหนา ก็คือทรัพย์สินต่างๆที่จมไปกับน้ำ และหนึ่งในนั้นคือ รถยนต์สุดที่รักของเรานั่นเอง หลายคนคงยังเครียดและสงสัยอยู่ว่า รถที่จมน้ำไปแล้วจะเรียกเคลมประกันภัยได้หรือไม่ ก็เลยนำบทความที่น่าจะเป็นประโยชน์มาฝากกัน

กลายเป็นเรื่องระดับชาติที่ได้รับการจับตาจากหลายฝ่ายเกี่ยวกับภัยน้ำท่วมที่ทำให้คนจำนวนมากนั้นต้องสูญเสียทรัพย์สินที่อยู่อาศัย และหนึ่งในหลายๆอย่างที่หายวับไปกับตาเมี่อน้ำท่วมนั้น ก็ไม่พ้นรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจำนวนมากจากภัยพิบัติครั้งนี้
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทำให้หลายคนวิตกจริต ถึงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมลดลงสภาวะสู่ปกติ แต่ที่ยิ่งไปกว่าเรื่องการฟื้นฟูคงไม่พ้นทุนรอน และกับเรื่องราวยานยนต์หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงประกันภัยที่จ่ายเบี้ยปีหนึ่งก็ไม่ใช่ถูกๆ
"รถโดนน้ำท่วม จะเคลมได้ไหม" เป็นความคิดที่หลายคน ใช้ช่วงเวลาที่นั่งดูน้ำเจิ่งนองเต็มหน้าบ้าน อย่างกับ Water World พิจารณาเพื่อหาทางออกให้กับชีวิต และวันนี้เราก็มีคำตอบมาให้เพื่อนๆได้ชื่นใจ เพราะการประกันภัยรถยนต์นั้นคลอบคลุมในเรื่องของภัยต่างๆที่เกิดกับรวมถึงเรื่องราวน้ำท่วมด้วย
หลายคนอาจจะไม่ทราบ แต่เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันนั้น การคลอบคลุมในกรณีภัยพิบัตินั้นจะเข้าข่ายการคุ้มครองก็ต่อเมื่อรถยนต์ของคุณได้มีการทำประกันภัยชั้น 1 หรือ ประเภท 1 ส่วนประกันประเภท 2, 3, 4, 5 ไม่ได้รับความคุ้มครองเรื่องความเสียหายจากน้ำท่วมรถ ดังนั้นหากทำประกันชั้น 1 ไว้ก็อุ่นใจได้ว่า คุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นประกันชั้น 1 ปกติที่ขายโดยทั่วไป หรือจะเป็นประกันชั้น 1 แบบประหยัดที่มีค่ารับผิดส่วนแรก ที่สมัยนี้กำลังเป็นที่นิยมกัน

หลักเกณฑ์การพิจารณาค่าสินไหมทดแทนจากน้ำท่วมนั้น ก็จะมีการแบ่งออกเป็น 2 กรณี สำคัญ โดยพิจารณาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง คือ

1.การสูญเสียโดยสิ้นเชิง หรือ total loss การสูญเสียเชิงนั้นเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยที่ได้รับการพิจารณาจากบริษัทว่า รถยนต์คันดังกล่าวไม่คุ้มที่จะซ่อมแซมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ ซึ่ง กรณีดังกล่าวนั้นยังรวมถึงเครื่องยนต์ ที่ต้องได้รับการซ่อมแซมให้สามารถใช้ได้ดังเดิม ก่อนเกิดภัยพิบัติด้วย โดยมากบริษัทประกัน จะประเมินมูลค่าความเสียหายที่ 70 % ของมุลค่ารถคันนั้น ซึ่งหากพิจารณาจากความเสียหาย ในกรณีนี้คือ ท่วมมิดคัน หรือ ท่วมเกินช่วยคอนโซลหน้า ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งห้องโดยสาร

2.ความเสียหายบางส่วน หรือ partial loss บางครั้งน้ำท่วมนั้นสามารถสร้างความเสียหายได้มาก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของบริษัทประกันด้วยว่า มันเสียหายมากน้อยเพียงใด และถ้ารถคันนั้นไม่เสียหายมากนัก สามารถซ่อมกลับมาใช้ได้ ประกันภัยก็จะตีเป็นลักษณะความเสียหายบางส่วน
ลักษณะความเสียหายบางส่วนนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบของประกันในการซ่อมแซมรถที่ประสบภัยให้กลับมาใช้งานได้ปกติ โดยที่ประกันภัยนั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด การคืนสภาพรถคันดังกล่าว ซึ่งรวมตั้งแต่เรื่องเครื่องยนต์กลไก ไปจนถึงการทำความสะอาดต่างๆ ไม่ว่า จะ ค่าใช้จ่ายเรื่องการซักพรม ทำความสะอาดภายใน ก็สามารถเคลมได้ทั้งสิ้น

ขั้นตอนการเคลมประกัน
ในขั้นตอนการเคลมประกันภัยนั้น ถ้าเป็นไปได้ระหว่างน้ำท่วมให้ถ่ายรูปบางส่วนเอาไว้ก่อน และหลังจากน้ำลดแล้ว ให้เราโทรเรียกประกันมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถ โดยเพื่อความสะดวกมากขึ้น อาจจะเรียกประกันนัดเจอยังแที่จะนำเข้าไปซ่อม ก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีซ่อมที่อู่กลางจะค่อนข้างได้รับความสะดวก

เมื่อประกันรับทราบเคสแล้ว ก็จะดำเนินการประเมินมูลค่าความเสียหาย หากรถของคุณเข้าข่ายข้อแรก ก็จะได้รับเงินจากประกัน โดยเงินจะถูกโอนไปยังผู้เอาประกัน ซึ่งบางครั้งคือไฟแนนซ์ ตรงนี้ต้องตรวจสอบให้ดี
สำหรับกรณีที่ได้รับความเสียหายบางส่วนนั้น เมื่อประกันภัยรับทราบความเสียหายได้รับใบเคลมเรียบร้อย รถเราก็จะได้รับการซ่อมแซมตามสมควร โดยเราสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตามสมควร และเมื่อรถซ่อมเสร็จนำกลับมาใช้ หากพบปัญหา อันอาจจะเกิดจากภัยที่ได้รับมานั้น สามารถแจ้งอู่หรือประกันได้ทันที เพื่อเคลมความเสียหายต่อเนื่อง

ทั้งนี้การเคลมประกันในกรณีความเสียหายบางส่วนนั้น หากรถคุณไม่ได้มีอาการหนักมา เราสามารถไปดำเนินการด้วยตัวเอง แล้วเก็บใบเสร็จรอเคลมกับประกันก็ได้ ซึ่งจะได้รับความสะดวกมากกว่ าแต่เอาเป็นว่าถ้าใครกำลังเป็นกังวลกับรถจมน้ำนั้น ก็ไม่ต้องจิตตกไป เพราะงานนี้ประกันเข้าครอบคลุม และเตรียมความพร้อมไว้แล้ว

25.10.54

รวม Link ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมประเทศไทย

ตอนนี้ก็คงต้องร่วมด้วยช่วยกัน ขอเป็นกำลังใจ เอาใจช่วยสำหรับคนที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม คิดว่าคงไม่มีใครรอดพ้นเพียงแต่โดนช้าหรือเร็ว โดนหนักหรือเบาเท่านั้นเอง สำหรับคนที่ยังไม่ท่วมก็คงต้องเตรียมพร้อมรับมือและเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จะได้พึ่งพาตนเองได้และรักษาทรัพย์สินไว้ได้มากที่สุดครับ และที่สำคัญเราจะได้ไม่ต้องพูดประโยคคลาสสิคว่า
"โอย ไม่นึกว่าจะมาเร็วขนาดนี้ เก็บของไม่ทันเลย" => เขาแจ้งมาเป็นเดือนแล้วครับ
"อยู่มา...ปีไม่เคยเจอแบบนี้" => นี่มันศตวรรษที่ 20 แล้วครับ โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
"ไม่มีอะไรจะกินแล้ว" => ศูนย์ช่วยเหลือมีครับ เขาบอกให้ออกก็ขอให้ปฏิบัติตาม มีข้าวกิน มีห้องแอร์นอน

ขอให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดครับ ลองดู รวม Link ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมประเทศไทย
http://www.thaipbs.or.th/flood54/
http://www2.mcot.net/flood/
http://flood.gistda.or.th/
http://www.websorb.net/flood/
http://www.thaiflood.com/
http://info.traffy.in.th/cctv-image/
http://news.mthai.com/general-news/130684.html

ขอให้ติดตามข้อมูลอย่างมีสติและเตรียมตัวให้พร้อม ขอให้โชคดีครับ

5.10.54

สุดยอด Android App Free ที่แนะนำว่าต้องมี

หลังจากตกลงปลงใจใช้ Android Smart Phone แล้วสิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ หาคู่มือมาศึกษาให้เข้าใจถึงวิธีการใช้งานอย่างถูกต้องจะได้ใช้งานอย่างมีความสุข ซึ่งข้อดีของ โทรศัพท์ Smart Phone ที่ใช้ระบบ Android นั้นก็คือไม่ว่าคุณจะใช้โทรศัพท์ยี่ห้ออะไรมันก็มีวิธการใช้งานที่ไม่ต่างกันมากนัก คู่มือก็เลยใช้ด้วยกันได้
ส่วนสิ่งที่จะทำให้ Smart Phone แสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่นั้น ก็คือ Application หรือ App นั่นเอง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เองว่าอยากจะใช้ Smart Phone ของเรานั้นเพื่อกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เช่น เน้นเพื่อความบันเทิงดูหนังฟังเพลง หรือเพื่อการทำงาน หรือเพื่อเล่นเกมส์ แล้วแต่จะเลือก
Application หรือ App นั้นมีให้เลือกอยู่เยอะมากจริงๆ มีทั้งแบบฟรี และเสียเงิน แต่สำหรับผู้เริ่มต้นก็อยากจะแนะนำ Application แบบ ฟรีๆ ให้ลงไว้ใช้งานก่อนดังนี้

1.Barcode Scanner แสกนง่ายติดตั้งแอปพลิเคชั่นก็สบาย


เป็นสุดยอดแอปพลิเคชั่นในการแสกนบาร์โค้ดประเภทต่างๆทั้ง แบบแท่ง หรือแบบสี่เหลี่ยม สำหรับติดตั้งแอปพลิเคชั่นที่เราพบเจอในแหล่งต่างๆได้อย่างง่ายดายเช่น ในหนังสือหรือเอกสารแนะนำ App ต่างๆ ก็จะมีบาร์โค้ดมาให้ด้วยเราเพียงแค่เปิดใช้ App Barcode Scaner แล้วเอากล้องไปจ่อตรงบาร์โค้ท ระหัสจะถูกอ่านและนำเราเข้าไปยังเว็บเพจที่อยู่ของ App นั้นและเราก็ทำการติดตั้งได้อย่างง่ายดาย


2.FXCamera การถ่ายภาพสนุ๊กสนุก

เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้ชาว Android ทุกคนสามารถใช้กล้องดิจิตอลบนตัวเครื่องได้อย่างสนุกสนาน และคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เราสามารถเลือกใช้เอฟเฟ็กต์ต่างๆในการถ่ายภาพได้หลากหลายรูปแบบเช่น ToyCam,Polaroid,Fisheye,SymmetriCam,WarholหรือNormal และสามารถปรับได้อีกแล้วแต่เราจะเลือก




3.Facebook for Android เล่นเฟชบุ๊คสำหรับ Android ได้แบบจิ๊บๆ

เป็น App ที่ทำให้เราเข้าถึง facebook ได้อย่างง่ายดาย และสามารถอัฟเดทสถานะของเราได้ตลอดเวลาไม่ว่าอยู่ที่ไหน






4.App 2 SD ย้ายแอปพลิเคชั่นจากเครื่องไปเก็บบน SD การ์ดอย่างง่ายๆ

สำหรับ Android 2.2 ขึ้นไป จะมีฟังค์ชั่นที่ให้เราสามารถย้าย App ต่างๆจากเครื่องไปเก็บไว้บน SD การ์ด  เพื่อไม่ให้หนักเครื่อง แต่ก็ทำหลายขั้นตอนยุ่งยาก
App 2 SD เป็นแอปพลิเคชั่นที่ทำให้เราสามารถย้ายแอฟพลิเคชั่นต่างๆไปยัง SD การ์ดได้อย่างง่ายดาย และในเวอชั่นล่าสุด App ที่ถูกดาวน์โหลดและติดตั้งใหม่จะถูกส่งไปยัง SD การ์ดเลย



5.Ringdroid ตัดต่อเพลงทำเสียงริงโทนง่ายมั่กๆ

เป็นโปรแกรมที่มีสถิติยอดดาวน์โหลดสูงมากครับ ซึ่งมีคุฯสมบัติครบครันให้เราสามารถตัดต่อริงโทน เสียงแจ้งเตือนและเสียงปลุกต่างๆจากไฟล์เสียงที่มีอยู่ได้อย่างง่ายดาย






6.Advance Task Killer ช่วยปิดแอปพลิเคชั่นประหยัดแบตเตอรี่เพิ่มความเร็วระบบ

จะช่วยปิดแอปพลิเคชั่นที่ไม่ได้ใช้งาน ที่รันอัตโนมัติหรือ เปิดซ้อนกันทิ้งไว้ จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ และเพิ่มความเร็วระบบของ Android ได้






7.Thai Dict แปลภาษาได้ดังใจ อังกฤษ-ไทย หรือ ไทย-อังกฤษ

จำเป็นมากๆครับไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยเรียน หรือวัยทำงาน ตัวนี้แนะนำครับใช้งานง่ายสุดลองดู






8.Youtube ดูหนังฟังเพลง ได้ทุกที่ทุกเวลา


ง่ายๆเลยครับ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากครับสำหรับ App นี้ เพียงแค่สัมผัสก็จะนำเราเข้าสู่เว็บเพจของ Youtube ที่เหลือเราก็เลือกดูเลือกโหลด Vedio ได้ตามใจชอบครับ





9.Google Maps ดูแผนที่บอกพิกัดรู้ทุกเส้นทาง


เป็น App ที่เหมาะสำหรับนักเดินทางที่เอาไว้ตรวจสอบเส้นทางหรือ เช็คสถานที่ใกล้เคียงที่น่าสนใจ สามารถดูได้หลายรูปแบบมุมมองครับ





10.Angry Birds นกคลั่งตะลุยด่านครับ
เป็นเกมส์ที่บอกได้ว่า Smart Phone ทุกเครื่องควรมีครับ เป็นเกมส์แนวตะลุยด่านที่ต้องใช้เชาว์ปัญญาในการเล่นพอสมควร ใช้ฆ่าเวลาได้ดีมากๆ






ทั้ง 10 Apps นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งในหลายหมื่น Apps ที่มีอยู่ทั้งหมด (ที่สำคัญ ฟรี) ที่น่าจะจำเป็นพื้นฐานในการใช้งาน Smart Phone ส่วนที่เหลือ ผู้ใช้ก็ลองเข้าไปหาดูได้ที่ https://market.android.com/ ซึ่งก็มีให้เลือกอย่างไม่รู้จบทั้งฟรีและเสียเงิน
ส่วนใหญ่โปรแกรมใช้งานก็คล้ายๆกันเช่น App ถ่ายภาพก็มีหลายค่ายที่ทำออกมา เราก็เลือกที่เราชอบที่สุด
สุดท้ายนี้ Smart Phone ของใครจะเจ๋งกว่ากันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราใครจะเลือก App ที่ดึงศักยภาพของเครื่องออกมาได้เจ๋งกว่ากันครับ บางคนซื้อโทรศัพท์เครื่องละหลายหมื่นแต่ใช้งานแบบกากๆก็มีครับ

22.9.54

Joystick สำหรับ iPad (fling)

หลายคนคงมี iPad หรือ Tablet ไว้ในครอบครองได้ลองกันไปแล้ว สำหรับคนที่หมายมั่นจะเอามาเกมส์ให้มันส์ไปเลยคงต้องยอมรับว่าไม่สามารถ ผมว่าการเล่นเกมส์ด้วยการกดปุ่มต่างๆบน Touch screen คงทำให้ใครหลายคนรู้สึกเสียอรรถรสไปบ้าง หรือเรียกว่ามันไม่ได้ฟิวล์อะนะ ใส่อารมณ์มากไปดีไม่ดีจอพังกันไปอีก
ตอนนี้ก็มีข่าวดีแล้วสำหรับคนที่ชื่นชอบการเล่นเกมส์บน iPad หรือ Tablet โดยทีมงาน Ten One Design ได้ออกอุปกรณ์เสริมที่จะมาปลดล๊อคคอเกมส์บน iPad มันคือ fling นั่นเอง

fling เป็น Joystick สำหรับ iPad ที่ใช้ติดบนหน้าจอ Touch screen และสามารถเล่นเกมได้อย่างมีอรรถรสมากขึ้นทันทีและยังช่วยถนอมหน้าจอของเราอีกด้วย
fling ถูกออกแบบมาอย่างลงตัวสำหรับ iPad โดยมีรูปลักษณ์ที่แปลกตา เจ้า fling ทำมาจากวัสดุชนิดพิเศษมีความแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นสูง
วิธีใช้ ก็ติดเจ้า fling ลงให้ตรงกับตำแหน่งของปุ่มบนหน้าจอ โดยปุ่มของ fling จะมีความอิสระเลื่อนได้ ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง และมีแรงดึงกลับสู่ศูนย์กลางอัตโนมัติ
ตอนนี้ก็มาวางขายในเมืองไทยแล้ว ราคาน่าจะประมาณ 500 บาทกว่าๆ ลองไปหามาลองดูละกัน





























http://tenonedesign.com/fling.php

14.9.54

Android App


จากครั้งที่แล้ว เราได้เปรียบเทียบ iPhone5 กับ Android Phone ไปแล้ว ผู้เขียนก็ตัดสินใจไปถอย Android  Phone (HTC Desir HD) มาลองใช้งานดูครับ
 จากที่ศึกษามาพอสมควรนะครับ Andriod เขามาพร้อมกับคุณสมบัติอันโดดเด่นที่ชาญฉลาด และขยายขีดความสามารถในการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพ ด้วยการรองรับติดตั้ง App ใหม่ๆ เพิ่มเข้าไป เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่สำคัญ App ของ Android ส่วนใหญ่ฟรีครับ และสามารถโหลดและติดตั้งจากที่ไหนก็ได้ที่มีสัญญาณ Internet (Android เป็นระบบของ Google ครับ)


App คืออะไร
App ก็ย่อมาจาก Application ซึ่งก็คือฟังค์ชันหรือโปรแกรมต่างๆ สำหรับใช้งานบนโทรศัพท์นั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น เกมส์ , โปรแกรมถ่ายรูป , โปรแกรมนาฬิกา  , โปรแกรม Dictionary เป็นต้น
App หาได้จากที่ไหน
App สำหรับ Android Phone นั้นมีให้ download กันทั้งแบบ ฟรี และ เสียตังค์ ครับโดยสามารถเข้าไป download ได้ใน http://market.android.com

App ติดตั้งยังไง
โดยปกติแล้ว Android App สามารถทำการติดตั้งได้หลายวิธี แต่ที่นิยมกันมีอยู่ 4 วิธี คือ
  1. การ download และติดตั้ง Android App ผ่านทาง Android Market วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย และสะดวกที่สุดเนื่องจากสามารถ download และติดตั้ง Android App เข้าโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อ Internet ได้โดยตรง
  2. การติดตั้งไฟล์นามสกุล .APK ผ่าน Android ที่เชื่อมต่อกับ Computer ผ่าน USB โดยใช้โปรแกรมเสริม ซึ่งวิธีนี้จะต้องเข้าไป download Android App มาเก็บไว้ที่ Computer ก่อน
  3. การติดตั้งไฟล์นามสกุล .APK จาก SD Card ซึ่งบางครั้งเพื่อนเรามี App เด็ดๆเราก็สามารถยืม มาลงที่เครื่องเราบ้างก็สามารถทำได้หรือ Save มาจาก Computer ก็ได้
  4. การติดตั้งผ่าน Barcode แบบ 2D หรือ QR Code  ซึ่งวิธีนี้ต้องมี App ที่ใช้ในการสแกน Barcode ก่อน เมื่อเราได้ Barcode มาจากหนังสือ หรือ นิตยสาร IT ต่างๆ แล้วเราทำการสแกนด้วย App Barcode เครื่องก็จะทำการ Link ให้เราไปพบกับหน้า Download โดยตรง ซึ่งเราสามารถ download App มาติคตั้งที่เครื่องของเราได้โดยตรงครับ(คล้ายกับวิธีแรก)
ง่ายๆไม่มีอะไรยุ่งยากครับ ลองเข้าไปดูละกันที่ http://market.android.com

8.9.54

การเลือกซื้อ Tablet


   เจ้า Tablet หรือ Tablet PC นี้เป็นเทคโนโลยีที่เสมือนว่าได้รวม ความสามารถของ คอมพิวเตอร์ และ โทรศัพท์มือถือ smart phone เข้าไว้ด้วยกัน Tablet PC จึงมีชื่อเล่นว่า MID ซึ่งมาจากคำว่า Middle ที่แปลว่าตรงกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างคอมพิวเตอร์ และ โทรศัพท์มือถือ แต่เสริมความสามารถต่างๆ เช่น ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สามารถใช้ปากกาดิจิตอลสั่งการได้ที่หน้าจอภาพโดยตรง โดยมุ่งเน้นการรับคำสั่งจากหน้าจอ Touchscreen และ เสียง สำหรับการสั่งการการใช้งานโทรศัพท์ 
   ตอนที่เจ้า Tablet นี้ ออกสู่ท้องตลาดบ้านเราแรกๆ หลายคนก็จะรู้สึกว่ามันตลกจัง ความสามารถคล้ายๆโทรศัพท์ smart phone มากกว่า computer แต่อันใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม (ก็เคยมีคนสงสัยว่ามันโทรออกได้ด้วยรึป่าว) คนที่มีแรกๆ ก็เคอะๆเขินๆ ที่จะควักมันออกมาในที่สาธารณะชน แต่ต้องยอมรับในฝีมือของผู้นำด้านนี้อย่าง Apple ( iPad )ที่นำเทคโนโลยีนี้มาฝังในหัวผู้บริโภคให้รูสึกว่าจำเป็นต้องมีเจ้า Tablet ไว้ใช้งาน ตอนนี้ผู้เขียนเองก็กำลังมองหามาใช้งานอยู่เหมือนกัน(โดนฝังหัวเรียบร้อย)
   ในท้องตลาดตอนนี้ก็กำลังแข่งขันกันอย่างหนักเลยทีเดียวก็เป็นข่าวดีของผู้บริโภคที่อาจจะได้ใช้ของดีโปรโมชั่นเจ๋งๆออกมาอีกเพียบ(แต่ต้องทำใจว่าของทีเราซื้อมาอาจจะตกรุ่นเร็วขึ้น) ตลาดตอนนี้ก็มีหลายค่ายเปิดตัวกันอย่างไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว มาลองดูกันคร่าวๆว่ามีใครบ้าง
    -iPad2 (wifi+3G) 16GB-64GB ระบบ Dual core+iOS4.3 ราคาประมาณ 18,900บาท - 24,900บาท
    -Samsung Galaxy Tab 7" (wifi+3G) ระบบ C110(Coretex A8) ราคาประมาณ 18,900 บาท
    -Samsung Galaxy Tab 8.9"และ 10.1" รุ่นที่เป็น wifi+3G ยังไม่ทราบราคาขาย
    -Motorola Xoom (wifi+3G) ระบบ Android 3.0+Dual Core ราคาประมาณ 23,900 บาท
    -LG Optimus Pad (wifi+3G) ระบบ Dual core และชิพจอ nVidia Tegra2(เล่นเกมเทพ) ราคายังไม่ทราบ
    -BlackBerry playbook (wifi+3G) ระบบ BlackBerry OS ราคาประมาณ 20,900 บาท
    -HP TouchPad ระบบ WebOS ราคาประมาณ 19,900 บาท
    -HP Slate 500 ระบบ Intel Atom (Windows 7) ราคาประมาณ 23,900 บาท
    -HTC Flyer ระบบ single-core 1.5GHz ราคาประมาณ 22,900 บาท
    -Toshiba Tablet ระบบ Dual core และชิพจอ nVidia Tegra2(เล่นเกมเทพ) ราคายังไม่ทราบ
    -Acer Iconia Tab W500 ใช้ Windows 7(docking ต่อ keyboard ได้) ราคา 17,900 บาท
    -Asus Eee Slate 121 ระบบ Intel core i5/Windows 7 (docking ต่อ keyboard ได้) ราคาประมาณ 30,000บาท
    -และอื่นๆ


 ดูจากรายการ Tablet ข้างบนแล้วส่วนใหญ่ยังไม่มีขายในบ้านเราครับ แต่เปิดตัวแล้วที่ต่างประเทศและกำลังจะมาบ้านเรา ดูราคาแล้วก็เรียกว่าปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว ถ้าใครคิดจะซือ Tablet ก็คงต้องตัดสินใจกันให้ดีก่อน ส่วนเรื่องยี่ห้อหรือค่ายนั้น ผู้เขียนมองว่าคุณภาพไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อมีก็ข้อดีข้อด้อยกันคนละแบบ ขึ้นอยู่กับเราที่จะเลือกให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการนำมาใช้งานซะมากกว่า(แต่ถ้าซือมาเล่นเกมส์ ป.ญ.อ. เอาอะไรก็เอามาเถอะ) ก่อนซื้อก็ศึกษาข้อมูลและตัดสินให้ดีๆก่อนละกันว่าคุ้มค่าหรือเปล่ากับเงินที่ต้องจ่ายออกไปเพราะบางคนราคามันพอๆกับเงินเดือนเลยทีเดียว และควรมั่นใจว่าซื้อมาแล้วเราได้ใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ ส่วนผู้เขียนเองก็กำลังหาข้อมูลอยู่เหมือนกัน
(Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet , Tablet ,Tablet , Table )

31.8.54

วิธีล้างแอร์ด้วยตัวเอง

พอดีแอร์ที่บ้านไม่ได้ล้างมาเป็นปีแล้วครับสังเกตุดูแล้วว่า มันเริ่มเสียงดังและมีน้ำหยดติ๋งๆครับฝุ่นก็เต็มเขรอะ พอไปศึกษาวิธีการดูแลรักษาแอร์เขาบอกว่าต้องล้างทุก 2 อาทิตย์ ถ้าไม่ล้างฝุ่นก็จะตันและแอร์ก็จะทำงานหนักและกินไฟเพิ่มขึ้นอีกครับ

พอรู้เช่นนี้ก็คงต้องถึงเวลาล้างแอร์แล้วครับ แต่จะจ้างช่างมาล้างก็น่ากลัวอะนะ ก็เลยคงต้องลงมือเองซะแล้วงานนี้ พอไปค้นดูก็พอมีวิธีการอยู่บ้างครับ(ต้องขอบคุณ mrkai999: http://2diy.blogspot.com/2009/06/diy-30.html) ว่าแล้วก็ลงมือกันเลยดีกว่าครับ

วิธีล้างแอร์ด้วยตัวเอง แบบแห้ง 30นาทีเสร็จ



1.) ตัดไฟที่เบรคเกอร์แอร์ก่อน จากนั้นถอด ฝาครอบด้านหน้าออก โดยยกฝาเปิดขึ้นสุด แล้วเอามือกดขามันทั้ง 2 ข้างเข้าหากันให้หลุดออกจากร่อง ตามรูป เวลาเอาขาออกให้เอาขาด้านซ้ายมือของเราออกก่อน แล้วจะดึงด่านขวาออกได้โดยง่าย



2.) ถอดฝาออกแล้วถอดแผ่นกรองทั้ง 2 แผ่นออกจะเป็นอย่างนี้
ในรูปนั่นกำลังถอดครีบบังคับทิศทางลมออก จำไว้ว่าครีบใหญ่อยู่บน เล็กอยู่ล่าง




3.) จากนั้นถอดฝาครอบแผงวงจรไฟฟ้าออก



4.) ตามด้วยถอดน็อตยึดฝาครอบ ทั้ง 2 ตัว



5.) จากนั้นเริ่มถอดฝาครอบออก โดยเอามือจับทีโครงด้านบนตามในรูป แต่ต้องจับที่โครงด้านบนทั้ง 2 มือ เวลาถอดให้ยกขึ้นนิดๆให้โครงมันหลุดจากเขี้ยวที่ล๊อคไว้ แล้วดึงโครงเข้าหาตัว
พอเอาโครงออก และถอดปลั๊กสายไฟของมอเตอร์ควบคุมบานสวิงออกจะเป็นแบบนี้
6.) พอเอาโครงออก และถอดปลั๊กสายไฟของมอเตอร์ควบคุมบานสวิงออกจะเป็นแบบนี้


7.) จากนั้นจะต้องถอดถามรองน้ำออก โดยต้องถอดน๊อตตัวนี้ก่อน



8.) จากนั้นจะต้องถอดถามรองน้ำออก โดยต้องถอดน๊อตตัวนี้ก่อน


9.) แล้วล้วงเข้าไปไขน๊อตตัวที่่สองออก ไอ้ตัวนี้อยู่ลึกหน่อย แต่ถอดไม่ยาก

10.) พอถอดน๊อต 2 ตัวออกแล้ว ให้ถอดสายยางออกจากรางรับน้ำ วิธีถอดก็ดึงออกตรงๆ ค่อยๆดึงออกช้าๆ แล้วถอดรางรับน้ำออกโดยดึงรางเข้าหาตัวเยื้องๆลงข้าล่าง เพื่อให้รางออกจากช่องลมออก ต้องดึงลงเพื่อให้พ้นจากแผงคอยล์เย็น

ดึงออกแล้วจะเป็นอย่างนี้


ฝุ่นจับเยอะ


บางช่องฝุ่นหนา ลมออกน้อย ฝุ่นน้อยลมออกมาก นี่เป็นสาเหตุของเสียงเดี๋ยวเบา เดี๋ยวค่อย


11.) จัดการใช้เครื่องดูดฝุ่น หัวแปรงดูดซะให้เกลี้ยง ต้องเลื่อน ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา อยู่พักใหญ่กว่าจะดูดฝุ่นตามใบพัดลมออกหมด

พอดูดเสร็จแล้วเป็นแบบนี้


ดูเต็มๆ ตลอดแนว


จบขั้นตอนทำความสะอาดด้วยตัวเอง
- - - - - -

12.) คราวนี้ก็ประกอปกลับ ใส่ถาดรองน้ำเข้าไปก่อน โดยสอดจากด้านล่างของคอยล์เย็นแล้วดันขึ้นเบาๆ มันจะเข้าล็อคเอง อย่าฝืนเด็ดขาด ค่อยๆขยับไปมาหาจังหวะที่จะดันรางน้ำเข้าได้ง่ายๆ เขาออกแบบให้ใส่ได้ง่ายโดยไม่ต้องออกแรงมาก


13.) ทำย้อนกับตอนถอด ใส่น้อตทั้ง 2 ตัวที่ยึดรางน้ำทิ้ง
อย่าลืมเอาสายยางน้ำทิ้งต่อเข้ากับรางน้ำด้วย

ต่อสายมอเตอร์บานสวิงลมกลับเข้าแผงวงจร

14.) ใส่ฝาครอบด้านหน้ากลับคืน ดันเข้าตรงๆขยับด้านบนของฝาครอบให้มันลงล็อค
แล้วขั้นน๊อตยึด 2 ตัวที่ด้านล่างของโครงแอร์ ในรูปรูน็อตจะอยู่ที่เทปสีฟ้า ด้านล่าง



15.) ขั้นน็อต 2 ตัว ยึดโครงแอร์


16.) ปิดฝาครอบแผงวงจร


17.) ใส่บานสวิงลมออกกลับคืน ใบใหญ่อยู่บน


18.) ใส่แผ้นกรองอากาศ แล้วปิดฝาครอบด้านหน้า


19.) จากนั้นก็ไปยกเบรคเกอร์ต่อไฟเข้าแอร์ แล้วลองเปิดดู ลมแรงสะใจ ไม่มีเสียงดังๆค่อยๆอีกแล้ว

26.8.54

3G คืออะไร

ก็คงได้ยินและรอคอยอย่างใจจดใจจ่อกันมานานจริงๆ กับเทคโนโลยีที่เรียกว่า 3G แต่ก็ยังไม่มาซักที (ดีไม่ดีกว่าจะได้ใช้กันอาจจะเป็น 4G ไปแล้ว ฮา ) ก็ด้วยความคาดหวังว่าเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารของบ้านเราจะได้พัฒนาไปอีกก้าวใหญ่ๆ แต่หลายท่านก็ยัง งงๆ อยู่เหมือนกันว่า 3G คืออะไร กันแน่ ดังนั้นในช่วงที่รอคอยนี้เรามาทำความเข้าใจกันว่า 3G คืออะไร

เทคโนโลยี 3G คืออะไร
3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต
3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น

ลักษณะการทำงานของ 3G

เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ

เทคโนโลยี 3G น่าสนใจอย่างไร
จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น
3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว

Always On
คุณสมบัติหลักของ 3G คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย

อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G
สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC


อ้างอิง http://community.siamphone.com/viewtopic.php?t=126459

20.8.54

เปรียบเทียบระหว่าง iPhone และ Android

    ทุกวันนี้จะมองไปทางไหนก็จะพบเห็นแต่ละคนมีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนใช้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดง เด็กอนุบาลจนถึงคุณตา คุณยาย ก็สไลด์ปรื๊ดๆกันทั้งนั้น เรียกได้ว่าใครไม่มีก็ถือว่าเอาท์สุดๆ
    สำหรับสมาร์ทโฟนที่เป็นตัวหลักที่ห้ำหั่นกันอย่างสูสีในท้องตลาดขณะนี้ก็จะแยกตามระบบปฏิบัติการได้ 2 ค่ายใหญ่ๆ คือ iOS ที่ใช้ใน iPhone จากค่าย Apple และ Android OS จากค่าย Google หรือจำง่ายๆก็คือโทรศัพท์ที่เป็น iPhone และ Android
  





    โทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ iOS ได้แก่ iPhone 3 , iPhone 4 จากค่าย Apple(กำลังจะออก iPhone 5)
    โทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Android ได้แก่ HTC , Samsung Galaxy , LG , Acer , Welcom, Motorola, Garmin Asus

     ได้มีการออกมาเปรียบเทียบกันระหว่าง iPhone และ Android จากทางทาง Lifehacker ซึ่งจะเน้นที่ไปที่ คุณสมบัติและความ สามารถของระบบปฎิบัติการ ของทั้งสอง ซึ่งไม่ได้เน้นที่ ประสิทธิภาพจากตัว Hardware โดยเปรียบเทียบกันแบบ หมัดต่อหมัด ฟีเจอร์ต่อฟีเจอร์ ว่าใครจะอยู่ใครจะไป
iPhone และ Android

*ภาพจาก lifehacker โดย Adam Dachis
** ถ้า iPhone ชนะ จะเป็นรูป Apple ถ้า Android ชนะจะเป็นรูปหุ่นยนต์ดีใจ
ส่วนถ้ามีรูป ทั้งสอง ก็แปลว่าเสมอกัน


ความง่ายในการใช้งาน

ผู้ชนะ : iPhone
iPhone สามารถใช้งานได้ง่าย และเข้าใจได้เร็ว ด้วยการใส่ปุ่ม (Home) ไว้เพียงปุ่มเดียวด้านหน้าไว้ที่ด้านหน้า
และเรียกใช้งาน App จากหน้า Home Screen ได้เลย ส่วน Android มีปุ่มหลายปุ่ม ทำหน้าที่ได้หลายอย่าง
ซึ่งก็ตามแต่ โทรศัพท์นั้นเป็นของผู้ผลิตค่ายไหนด้วย  ซึ่งทำให้หลายคนสับสนได้ ดังนั้นเรื่องความง่ายในการใช้งาน iPhone ต่อยมันขวาตรงเข้าหน้า Android อย่างจัง

การเปิดรับ

ผู้ชนะ : Android
ยังไงก็รู้ผลตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นชก เพราะ iPhone เป็นระบบปิด ซึ่งต่างกับ Android อย่างสิ้นเชิงที่ กูเกิลพัฒนามาจาก Open source อย่าง linux นอกจากนั้น iPhone ยังควบคุม App ต่างๆ ต้องผ่านการ ยอมรับจากทาง Apple ก่อนด้วย ซึ่งต่างกับ Android


ความประหยัดพลังงานส่วนของแบตเตอร์รี่

ผู้ชนะ : iPhone
Apple ให้ความสำคัญมาก ๆ ในเรื่องของการประหยัดแบตแต่ข้อนี้ก็วัดกันลำบาก เพราะ Android มีหลากหลายรุ่นมาก hardware แตกต่างกันมากเหลือเกิน ซึ่งต่างกับ iPhone มีมีอยู่เพียงไม่กี่รุ่น แต่โดยรวมแล้ว iPhone ก็ยังใช้งานได้นานกว่า Android

การใช้งานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking)

ผู้ชนะ : เสมอกันระหว่าง iPhone และ Android
หลังจากรอมานานกับ mulitasking ใน iPhone ซึ่งจะเพิ่มเข้ามา ใน iOS4 แม้จะไม่ใช่การสนับสนุน Multitasking เต็มรูปแบบเหมือนอย่าง Android แต่ก็แลกมาด้วยการประหยัดแบตไปได้อีกเยอะนัดนี้เลย เสมอกัน

ซอฟท์แวร์คียบอร์ด

ผู้ชนะ : iPhone
iPhone ทำการบ้านได้ดีกว่า ตัวซอฟต์คียบอร์ดของ iPhone จึงดีกว่าของ Android แต่ ด้วยความที่ Android ปรับแต่งได้ง่าย ดังนั้น จึงหา soft keyboard ที่ปรับแต่งให้ใช้งานได้ดีขึ้น ไม่อยากนัก แต่โดยรวมๆ แล้ว iPhone ชนะ เพราะดีมาตั้งแต่เปิดออกจากก่อนไม่ต้องไปหามาลงเพิ่มให้ยุ่งยาก

(แต่คงไม่ได้ตัดสินที่ keyboard ภาษาไทย ที่เอาสระไปรวมกัน มั่วไปหมดสำหรับ iPhone)


การค้นหาข้อมูลในตัวโทรศัพท์

ผู้ชนะ : เสมอกันระหว่าง iPhone และ Android
แม้ Android จะมาจากค่าย นักเสิร์ช อย่าง google แต่ก็ไม่สามารถ ชนะน๊อต นัดนี้ได้ ทั้งสองทำคะแนนในการค้นหา รายชื่อโทรศัพท์, เพลง, อีเมล, Note, ปฎิทิน และ App ได้เป็นอย่างดี ดูแล้วต้องบอกว่า Google เสียหน้าหน่อยนะ ถ้าไม่ใช่ชนะ

ระบบแจ้งเตือน

ผู้ชนะ : Android
ระบบแจ้งเตือน หรือ Notification ยังไม่ได้รับการปรับปรุงเท่าที่ควร สำหรับ iPhone ยิ่งเป็นมือถือที่ใช้งานง่ายแล้วด้วย น่าจะปรับปรุง ส่วนนี้ได้แล้ว เพราะการปรับแต่ง Notification ก็ดูงุนงง (บางครั้งก็อยู่ใน ส่วนของ App เอง บางทีก็อยู่ในส่วนของ Setting ใน OS)  ซ้ำยังสามารถแสดง การแจ้งเตือน ได้แค่ อันแรกอันเดียว ทำให้ผู้ใช้ ละเลยการแจ้งเตือนอันต่อๆ  มา ผิดกับ Android ที่ทำงานแจ้งเตือนได้ชาญฉลาดกว่า เพราะมี ระบบ pull down ให้เลือกดูการแจ้งเตือน

ระบบแปลงเสียงเป็นข้อความ (Voice-to-Text)

ผู้ชนะ : Android
ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้า หมัดนี้ Android ชนะสบาย ๆ เพราะ Google เชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว และมันสะดวกมาก ๆ ในการใช้งานด้วยเสียงแทนการใช้นิ้วพิมพ์ เพราะบางครั้ง เราก็ไม่สะดวกที่จะพิมพ์ อย่างขับรถ หรือเดินบนถนนอยู่ ซึ่งสำหรับ iPhone ไม่สามารถทำส่วนนี้ได้เลย นอกจากใช้ App เสริมเอาเอง * แต่สำหรับภาษาไทย ก็เดี้ยงทั้งสองนั่นแหละ

การ Sync กับคอมพิวเตอร์

ผู้ชนะ : Android
ด้วยความที่ว่า iPhone ไม่ค่อยจะเปิดการใช้งานอะไรนัก และมัก ควบคุมการใช้งานอย่างยิ่งยวด ทำให้ iPhone ล้าหลังมาก ๆ ในเรื่องการ Sync ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ ที่ต้องทำผ่าน iTune เท่านั้น และต้องเสียบสายอีกต่างหาก สมัยนี้อะไรมันก็ทำผ่าน ไร้สายกันแล้ว Android ทำส่วนนี้ได้ดี Sync ผ่าน Wireless ได้เลย เข้าไปยัง Google Account ซึ่งถึงคราวเปลี่ยนมือถือ เมื่อไหร่ ข้อมูลก็ Sync กลับมาได้อย่างง่ายดาย เพราะข้อมูลทุกอย่างอยู่กับ Google Account เรียร้อยแล้ว

การ Sync กับคอมพิวเตอร์ ที่ไม่ผ่านบริการ Google

ผู้ชนะ : iPhone
แม้ Android จะชนะในหมัดที่แล้ว แต่ถ้าลองดูว่าการ Sync ที่ไม่ใช่บริการของ Google Services ก็จะเห็นว่า ไม่สามารถ Sync กับบริการของเจ้าอื่นได้เลย ไม่ว่าจะเป็น outlook, iTune

การใช้โทรศัพท์ต่อเน็ตแทนโมเด็ม (internet Tethering)

ผู้ชนะ : ไม่มี
อันนี้ lifehacker พูดถึงเฉพาะ การใช้งานที่ อเมริกา

การออกการแก้ไขปัญหาและอัพเดตอย่างต่อเนื่อง

ผู้ชนะ : iPhone
ยุคนี้แล้ว ไม่ใช่แค่ hardware เทพอย่างเดียว ต้องรวมถึง mobile OS ด้วย ผู้ใช้ทุกคนต่างก็การแก้ไขบัก และฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้อัพเดตเพิ่มเติม ซึ่ง Apple ได้ทำส่วนนี้ได้อย่างเป็นระบบ เพราะจะมีการอัพเดต OS ใหม่ทุกปี เป็นอย่างน้อย ตามการออก ตัว iPhone รุ่นใหม่ (hardware) ซึ่งต่างกับ Android ที่มีความหลากหลายมาก ๆ ในด้าน hardware เพราะเป็นระบบเปิด มีคนนำไปใช้หลายเจ้ามากมาย ทำให้ กูเกิล มีปัญหากับการอัพเดต Android Phone อย่างมาก แต่กูเกิล จะปรับเปลี่ยนเป็นการออกอัพเดต OS ใหม่ทุกปี เหมือน ที่ Apple ทำกับ iPhone

แอฟฟลิเคชัน

ผู้ชนะ : เสมอกันระหว่าง iPhone และ Android
มีหลายคนอาจจะบอกว่า อะไรกัน iPhone มี APP เยอะกว่าตั้งเยอะ (ต่างกันเกือบ 4 เท่าตัว) แต่เดี๋ยวก่อน แม้จำนวนเยอะ ก็ไม่ได้หมายความว่า App จะดีไปด้วยทุกตัว (อาจจะเพราะว่า การควบคุม มากมายก่ายกองของ
Apple เอง ทำให้ Developer เองไม่ค่อยมีอิสระในการออก App ดังจากที่เห็นว่ามี Jail break App หลายตัวที่ดี และน่าใช้) และอีกประเด็นคคือ App เด่นๆ  ดัง ๆ และใช้งานดีขั้นเทพ ก็มักจะมีการออกมาทั้ง iPhone และ Android 
 การเล่นเน็ตผ่านมือถือ
ผู้ชนะ : เสมอกันระหว่าง iPhone และ Android
iPhone มาพร้อมกับ Mobile Safari Browser ซึ่งสามารถทำงานได้ดี ไม่มีงอแงง เรียกว่าเสถียรดีมาก ส่วน Android แม้จะทำงานได้ ไม่ดีเท่า Safari แต่ก็มีการสนับสนุน Flash ด้วย


เกม
ผู้ชนะ : iPhone
ต้องให้คะแนนเพราะความเก๋าของ iPhone ที่มีเกม ใน App Store อยู่เยอะมาก และเกมดังๆ ก็ port ลงใน iPhone เยอะด้วย แต่ Android ก็น่าจับตาอยู่ไม่น้อย แต่นาทีนี้ iPhone ที่ Nintendo มองเห็นเป็นคู่แข่ง สำหรับเกมมือถือแล้ว ก็คงไม่ธรรมดา

ความสามารถทางด้านฟังเพลง

ผู้ชนะ : iPhone
แม้ว่า Android จะทำอะไรได้หลายอย่าง แล้วก็ดีซะด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ ผู้ใช้บ่นกันอุบ ก็คือ ส่วนของ media player ซึ่งผิดกับ iPhone ที่เอา media player ระดับเทพที่ใช้ใน iPod ลงมาใช้  งานนี้ iPhone จึงรักษาแชมป์ไว้ได้

ระบบนำทาง GPS แบบ Turn by Turn แบบแจกฟรี

ผู้ชนะ : Androidแน่นอน Android ชนะขาด เพราะแจกระบบนำทางมาให้ใช้ฟรี ๆ พร้อมตั้งแต่เปิดเครื่อง ส่วน iPhone ต้องไปซื้อเอาเองจากใน App Store ซึ่งราคาก็ไม่ใช่น้อย

การผสานเข้ากับ Google App

ผู้ชนะ : Androidยังไงก็ต้องยกให้ Android เพราะผสมการใช้งานกับ Google App ต่างๆ ได้อย่างลงตัว ซึ่ง Apple ได้กีดกัน
Google ที่มองดูเป็นคู่แข่งอยู่แล้ว

ใช้งานกับ Google Voice

ผู้ชนะ : Androidเหตุผลง่ายๆ เลยคือ Google Voice มันดีมาก ซึ่ง iPhone ไม่ยอมให้มีใช้

การปรับแต่ง

ผู้ชนะ : AndroidiPhone ที่แม้จะอัพเดตเป็น iOS4 ก็เพิ่มความสามารถในการปรับแต่ง หน้าตาได้แค่ เปลี่ยน wallpaper และ background image ได้เอง ซึ่งเป็นของเสียมาตั้งแต่แรก สำหรับ iPhone ที่ทำให้ดูน่าเบื่อ ได้ง่าย ผิดกับ Android ที่แทบจะแต่งอะไรได้สารพัด
คะแนนโดยรวม Android เป็นผู้ชนะ ด้วยคะแนน 13 : 11


แม้ว่า Android จะเป็นฝ่ายชนะในครั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนบทความจาก lifehacker ก็เป็นแฟนตัวยงของ บริการต่างๆ ของ Google Mobile service เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ซึ่งบริการต่างๆ มันก็ (เจ๋งจริง ๆ นั่นแหละ) และเน้นมองประเด็นในด้านของ ผู้ใช้โทรศัทพ์เป็น เซียนนักใช้ฟีเจอร์ต่างๆ (power user)
     ส่วนใครที่กำลังมองหาโทรศัพท์สมาร์ทโฟนซักเครื่องไว้ใช้งานก็คงต้องตัดสินใจด้วยตนเอง เพราะแต่ละค่ายก็จะมีดีแตกต่างกันไปคนละแบบ ทั้ง iPhone และ Android ก็ไม่ได้ต่างกันมาก แต่ปัจจัยที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่างก็คงเพราะความสามารถด้านการตลาดของเขา ที่ทำให้เรามีความเชื่อว่าของเขานั้นดีจริงๆ

15.8.54

แก้ปัญหาเครื่อง Computerรวน ด้วย System Restore

  หลายครั้งที่เราลองเอาโปรแกรมใหม่มาลงหรือติดตั้งอุปกรณ์ใหม่บน Windows แล้วอยู่ดีๆ ระบบComputerรวน ขึ้นมาซะงั้น ทำให้ใช้งานต่อไปไม่ได้ ไม่ไหวจะเคลียร์
   แต่ไม่ต้องห่วงครับทุกวันนี้ Windows มีเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถย้อนเวลาเพื่อให้ เครื่องComputer สามารถกลับมาใช้งานได้ดีดังเดิมและถอดเอาโปรแกรมที่ทำให้ ระบบComputerรวน ออกไปจากเครื่องด้วยครับ
   สำหรับ Windows จะมีเครื่องมือที่ว่านี้ก็คือ "System Restore" ซึ่งเป็นเหมือนแฟ้มเอกสารที่เก็บข้อมูลการทำงานของ Windows และไฟล์แอพพลิเคชั่นต่างๆที่ติดตั้งในระบบ ถ้าเราต้องการที่จะย้อนเวลาเรียกคืนสภาพก่อนหน้านี้ให้กับ ระบบComputer ก็สามารถทำได้ ด้วยการเลือกวันที่ต้องการย้อนเวลากลับไป

วิธีการย้อนเวลาด้วย System Restore  
คุณสามารถย้อนเวลาเรียกคืนสภาพที่ดีด้วย System Restore เมื่อเห็นว่าเครื่อง Computer ของคุณเริ่มมีอาการ ระบบComputerรวน โดยเราต้องเลือกระยะเวลาถอยหลังตามที่เราต้องการ
1.คลิ๊กที่ปุ่ม Start >> All Program >> Accessories >> System Tools >> System Restore
















2.คลิ๊กปุ่ม Restore my computer to an earlier time และคลิ๊กปุ่ม Next เพื่อดำเนินการต่อไป














3. อ่านเงื่อนไขแล้วทำการคลิ๊ก Next














4.เลือกวันที่เราต้องการย้อนเวลากลับไป(ต้องเป็นวันที่เครื่อง Computer ยังมีสภาพการใช้งานที่ดีอยู่)














5.เลือกวันแล้วก็คลิ๊ก Next เพื่อให้เครื่องทำการ System Restore
เมื่อ System Restore เสร็จแล้วเครื่องจะทำการ Restart เครื่องขึ้นมาใหม่ (ไม่ต้องตกใจ) Restart ขึ้นมาเสร็จแล้วให้ทำการกดปุ่ม OK ถือเป็นอันเสร็จสิ้น
เพียงเท่านี้เครื่องของเราจะกลับมาลื่นปรื๊ดเหมือนเดิม